girl wonder

โคลอี เกรซ มอเรตซ์ เดินทางไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ครั้งแรกของ H&M ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส และที่ล็อบบี้โรงแรม Crillon สาวน้อยวัย 16 ปีจากลอสแองเจลิสคนนี้อยู่ในลุคที่ธรรมดา เธอสวมเสื้อโปโลแขนยาวสีดำ เลกกิ้งหนัง และรองเท้าบู๊ตสั้นแค่ข้อ เธอวางขนมิงค์ฟูฟ่องสีเหลืองอำพันที่ยืมมาจากคุณยายพาดไว้บนที่วางแขนเก้าอี้นวม ใบหน้าของเธอแทบปราศจากเครื่องสำอาง มีเพียงปัดแก้มสีชมพูบางๆ และปัดเปลือกตาเบาๆ แต่สิ่งที่เราได้ยินจากปากของเธอดูมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เห็น “ฉันเป็นแค่เด็กอายุ 16 ที่ไม่ได้ต่างจากเพื่อนๆ ของฉัน” เธอกล่าวขณะลังเลว่าจะหยิบเค้กชิ้นไหนดีจากรถเข็นน้ำชา (เธอเลือกเค้กช็อกโกแลตและกัดเข้าไปสองคำ) “แต่อีกแง่หนึ่ง ฉันต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดูหรูหรา อย่างการใส่ Dior Couture, Chanel หรือ Prada! นั่นเป็นการสร้างคาแรกเตอร์ มันคือ ‘ดารา’ ไม่ใช่ ‘เด็กสาว’ แต่สำหรับตัวฉันมีทั้งสองอย่างในแพ็กเกจเดียว นั่นเป็นสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องมี”

การก้าวเข้ามาในธุรกิจบันเทิงที่เรียกว่าฮอลลีวูดตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าจะให้ดีต้องอาศัยทั้งพรสวรรค์และอุปนิสัยบวกกับความเข้มแข็งของครอบครัว ที่สำคัญต้องพร้อมรับมือกับการตกเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์และถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม พูดง่ายๆ ก็คือต้องเป็นโปรดักส์ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพจริงๆ

 

เรื่องราวของมอเรตซ์นับว่าไม่ธรรมดาเมื่อเทียบกับดาราเด็กคนอื่นๆ ที่มักเริ่มต้นด้วยการออกรายการทางช่อง Nickelodeon หรือ Disney แล้วติดกับดักแห่งความดังด้วยการติดเหล้า ติดยา หรือติดเซ็กส์ สำหรับมอเรตซ์นั้นเธอเริ่มเรียนการแสดงตั้งแต่อายุ 6 ขวบ กระทั่งบทฮิตเกิร์ลใน Kick-Ass เปลี่ยนการพากย์การ์ตูนแบบเด็กๆ ใน My Friends Tigger & Pooh ให้กลายเป็นการลงสนามใหญ่ ทำให้เธอคว้ารางวัล MTV Movie Awards สาขานักแสดงดาวรุ่งและอีกหลายรางวัลจากหลายเวทีในปีนั้น จากนั้นเธอมีผลงานตามมามากมาย ทั้งหนังอินดี้ Let Me In และ Hick หนังบล็อกบัสเตอร์ Hugo รวมถึงซีรีส์ 30 Rock ปีก่อนเธอได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้แบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น Aéropostale “เพราะพวกเด็กสาวในวิสคอนซินและไอดาโฮจะได้เห็นสิ่งที่ฉันใส่บนพรมแดง และรู้ว่าพวกเธอเองก็สามารถซื้อใส่ได้” เธอกล่าว

 

ในปีนี้หลังจาก Kick-Ass 2 ออกฉาย มอเรตซ์ยังมีบทเด่นใน Carrie หนังสยองขวัญรีเมกที่เธอจะได้เล่นประกับจูลิแอนน์ มัวร์ และการรับบทแคร์รีนี้เองที่ทำให้เธอได้ทดลองอะไรใหม่ๆ “ฉันลองการแสดงสไตล์ใหม่อย่างที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน” เธอเล่า “ในฉากที่ฉันต้องร้องไห้ ปกติฉันเป็นนักแสดงที่สามารถหลุดจากบทได้ทันทีหลังจากสั่งคัต ฉันหัวเราะและทำตัวบ้าๆ บอๆ ได้เดี๋ยวนั้น แต่ใน Carrie ฉันอยากจะอินกับตัวละครและจมอยู่ในด้านมืดตลอดทั้งวัน ฉันไม่ได้เป็นนักแสดงแบบ Method ขนาดนั้น (การแสดงที่เข้าถึงสภาพจิตใจของตัวละครและเปลี่ยนลักษณะนิสัยให้เป็นตัวละครนั้นจริงๆ) ฉันไม่ถึงขั้นไม่คุยกับพ่อแม่ ทำตัวโรคจิต และไม่กินอะไรทั้งวัน แต่เมื่ออยู่ในกองถ่ายพร้อมกับนักแสดงร่วมและผู้กำกับ ฉันเป็นแคร์รีอยู่ตลอด มันเป็นการทดลองที่ดีที่สุดที่ฉันเคยทำมา แต่มันก็เป็นอะไรที่มืดหม่นสุดๆ เหมือนกัน ตัวฉันเองยังกลัวที่จะดูหนังเรื่องนี้เพราะมันเป็นบทที่เปราะบางที่สุดเท่าที่ฉันเคยแสดง”

 

มอเรตซ์ยกเครดิตให้ความสัมพันธ์ที่เธอพัฒนาร่วมกับจูลิแอนน์ มัวร์ ที่รับบทแม่ผู้เคร่งศาสนา ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้การแสดงทั้งหมดออกมาดี “ตอนแรก ฉันแบบว่า ‘เธอคือจูลิแอนน์ มัวร์ เชียวนะ! เธอจะน่ารักไหม เธอจะจิตๆ หน่อยไหม แบบว่าเธอจะอินกับการแสดงแบบ Method และตบตีฉันจริงๆ หรือเปล่า’ แต่พอฉันเจอเธอครั้งแรก เธอก็กอดฉันและเรียกฉันว่า ‘Cookie Puss’ มีอยู่วันหนึ่งฉันบอกเธอเลยว่า ‘ขอบคุณที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันขนาดนี้เพราะเราเล่นเป็นแม่ลูกกัน ถ้าเรารู้สึกห่างเหินกัน มันก็คงไม่เวิร์ก’”

 

มอเรตซ์ดูเหมือนจะเป็นเจ้าแห่งโซเชียลมีเดียอยู่เหมือนกัน เธอแชร์ความคิดและประสบการณ์ผ่านทวิตเตอร์และอินสตาแกรมซึ่งเธอมีผู้ติดตามราวครึ่งล้าน “ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้ว่าโซเชียลมีเดียน่าทึ่งมาก เพราะมันเหมือนเป็นประตูเปิดให้คนที่ไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน เข้ามาอยู่ในชีวิตคุณ” เธอกล่าว “แต่คุณก็ต้องไม่ให้พวกเขาเข้ามามากเกินไป ทุกวันนี้ฉันมักจะใช้มันกับการโปรโมทหนัง ฉันไม่เคยโพสต์ข้อความอย่าง ‘ไปให้พ้นเลยนะ แกทำฉันเจ็บปวด’ เพื่อกระทบถึงใครบางคนแต่ไม่เอ่ยชื่อว่าใคร ไม่เอาน่า กล้าๆ หน่อย ก็เห็นอยู่ว่าคุณเรียกร้องความสนใจ”

 

แม้ว่าเธอจะแอบมีความขบถนิดๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามอเรตซ์จะประพฤติตนอยู่กับร่องกับรอย “ฉันเคยหมกมุ่นกับความคิดว่าเด็กอายุ 16 ต้องทำตัวยังไง” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบสาววัยรุ่น แต่พูดจาอย่างมีสติอยู่ตลอด “มันอาจเป็นเพราะฉันได้ไปงานเลี้ยงใหญ่โตและเจอคนดังๆ ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ขณะที่คนในวัยเดียวกับฉันที่โรงเรียนต้องยืนต่อคิวเข้าไปเที่ยวในคลับ และแม้ในที่ที่ฉันไปจะเปิดโอกาสให้ฉันได้ดื่มเหล้าและกระทั่งพี้ยาได้ง่ายๆ แต่ฉันก็ไม่เคยอยากลอง ฉันแค่มองไปรอบๆ และคิดว่า “พระเจ้าคงมีเหตุผลที่ให้ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมฉันจะต้องอยากพี้ยาหรือทำอะไรที่จะไปทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเคยมาล่ะ” การอยู่ในวงการนี้ไม่ได้เต็มไปด้วยความหอมหวาน และฉันต้องมานะบากบั่นเป็นอย่างมากกว่าจะมายืนตรงจุดนี้ ฉันไม่ใช่เด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับนามสกุลดังหรือฟลุ๊กได้แจ้งเกิดในหนังสักเรื่อง แต่ฉันทำงานมาตลอด 11 ปี และจะตั้งใจทำต่อไป เพราะถ้าฉันหยุดเมื่อไหร่ รับรองว่าฉันคงหายไปภายในเดือนเดียว”

 

เรื่อง: alexandra marshall

ภาพ: jason nocito

สไตล์: daniela jung

แปลและเรียบเรียง: ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์

0 replies

Leave a Reply

Want to join the discussion?
Feel free to contribute!

Leave a Reply